โทรศัพท์ 1358
3 ข้อต้องมี! คนทำ SME ต้องอ่านสู้ศึกยังไงดีหาก 'เจ้าใหญ่' ก๊อบปี้สินค้า
3 ข้อต้องมี! คนทำ SME ต้องอ่านสู้ศึกยังไงดีหาก 'เจ้าใหญ่' ก๊อบปี้สินค้า
3 ข้อต้องมี! คนทำ SME ต้องอ่านสู้ศึกยังไงดีหาก 'เจ้าใหญ่' ก๊อบปี้สินค้าผู้ประกอบการธุรกิจ SME หลายเจ้าอาจจะต้องกุมขมับ หลังสินค้าตัวชูโรง ถูกก๊อบปี้โดยเจ้าเล็ก เจ้าใหญ่ จะขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญแนะ 3 วิธีทางการตลาดเอาชนะปัญหา1. สร้างแบรนด์ให้เข้มแข็ง ในเมื่อสินค้าเราอาจจะถูกก๊อปได้ แต่แบรนด์เราต้องสร้างให้เป็นที่จดจำ ต้องทำให้ "กลุ่มลูกค้าเรา" รู้จักและรักเราให้มากที่สุด สำหรับ ธุรกิจของเราโชคดีที่ 3 ปี เกือบ 4 ปี เราไม่ยอมหยุด เราเข้าหาลูกค้า ออกบูทมากมายหลายที่ มีโอกาสไปออกรายการ และไปเข้าร่วมใน Event ต่างๆ ระยะหลังมานี้เราก็เริ่มมีลูกค้าประจำ (Raving Fan) ที่รักในสินค้าของเรา ซื้อซำ้เป็นประจำ และมันตื้นตันทุกครั้งที่มีคนบอกว่า เขารู้จักสินค้าเรา เคยมีครั้งหนึ่ง เราเอาสินค้าไปเข้าร้านสุขภาพ แล้วเจ้าของร้านบอกว่า สินค้าเรา "ดังนะเนี่ย" ทั้งนี้ การสร้างสินค้าให้เป็นที่รู้จัก มันไม่ได้ใช้ระยะเวลาแค่เวลาสั้นๆ แต่มันต้องทำเป็นประจำ ทำซํ้าๆ บางคนบอกให้ทำออนไลน์ บางคนบอกให้ทำออฟไลน์ แต่ผมจะบอกว่า "เอาให้หมดทุกทาง" ครั้งหนึ่งในงานแกะรอยร้อยล้าน ของอายุน้อยร้อยล้านร่วมกับSCB ผมได้ฟัง เฮียนพหมูนุ่ม พูดว่า ทำธุรกิจอย่าหยุดตะโกน เราจึงเอาคำนี้มาใช้ตลอด วันนี้เราอาจยังไม่ดัง แต่ไม่นานแน่นอนเราจะทำให้ทุกคนได้รู้จัก ฟินอี (Fin-e) ไข่ขาวพร้อมทาน Original Never die2. Innovation สร้างนวัตกรรม เมื่อเกมเริ่มแล้วคงหยุดไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือวิ่งไปข้างหน้า วิ่งให้เหมือนพี่ตูน วิ่งจนกว่าจะถึงเส้นชัย คำหนึ่งที่ได้มาตอนไปนั่งฟังสัมมนาการเงินคือ "If you’re not growing, yor are dying" ถ้าคุณไม่กำลังโตแปลว่าคุณกำลังตาย! ดังนั้นหากสินค้าคุณโดนก๊อป อย่าถอดใจ เค้าอาจจะก๊อปสินค้าเราได้ แต่เขาก๊อปมันสมองและจิตวิญญาณเราไม่ได้ ออกสูตรใหม่ ออกรสชาติใหม่ ออกนวัตกรรมใหม่ ทำให้ตัวเราเป็น ผู้นำ (Leader) อยู่เสมอ เพราะถ้าแค่เราหยุดพักหายใจอยู่กับที่ รู้ตัวอีกทีเราอาจเป็น ผู้ตาม (Follower) ในตลาดไปซะแล้วแทนที่จะนั่งโกรธว่าโดนก๊อป เรามาเปลี่ยนโฟกัสว่า เราจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อะไรในธุรกิจเราออกมาได้บ้าง พอคิดแบบนี้เราจะใช้พลังเรามากกว่าเดิม ใช้จินตนาการมากกว่าเดิม สู้มากกว่าเดิม และเราจะรู้ว่าศักยภาพเรามันไม่มีขีดจำกัด ถึงเราจะยังเล็กแต่เราจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่3. Partner เพื่อนคู่ค้า ถ้าเราเล็กด้วย แถมยังโดดเดี่ยวด้วย ยุคนี้ผมว่าอยู่ยาก มันคงจะดีกว่ามาก ถ้าเรามี เพื่อน ที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือกันและกัน ใครจะไปเข้าใจหัวอก SME ได้เท่า SME ด้วยกัน ดังนั้นเราอย่ามัวมาแข่งกัน หาพันธมิตรในอุตสาหกรรมเดียวกัน คอยเป็นหูเป็นตา และส่งเสริมซึ่งกันและกัน โปรโมตสินค้าของพันธมิตรในช่องทางของกันและกัน ถ้าเราอยู่คนเดียว กว่าจะสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) ให้ลูกค้ารู้จักเรา เจ้าใหญ่ที่มาก๊อปก็แซงไปถึงไหนแล้ว อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของเราโชคดีมากๆ ที่เรามีเพื่อนร่วมวงการอาหารสุขภาพที่คอยช่วยเหลือมาตลอด เช่น ลุงโจนส์ (Jones Salad) ที่ทั้งช่วยแนะนำ ช่วยสนับสนุนกันเรื่อยมา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สสว. ที่ให้การสนับสนุน SME ดังนั้น สร้าง Partner หาพันธมิตรกันเข้าไว้ครับCR : www.thairath.co.th#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
03 ธ.ค. 2561
เมื่ออนาคตดิจิทัลไล่ล่าธุรกิจโลจิสติกส์ !!
เมื่ออนาคตดิจิทัลไล่ล่าธุรกิจโลจิสติกส์ !!
เมื่ออนาคตดิจิทัลไล่ล่าธุรกิจโลจิสติกส์ !! เมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่เกิดขึ้นจะทำให้รูปแบบธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ขณะที่พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี ดังนั้น การรับรู้ถึงเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้ามามีผลกระทบกับธุรกิจโลจิสติกส์ นับว่าเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึง และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากใครสามารถคิดได้เร็ว ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ก็จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ตนเองได้ รวมถึงสามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา ยังไม่สามารถแก้ไขในอดีตที่เป็นแบบ Real time ได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยียุคดิจิทัลมีความก้าวหน้าไปอย่างมากจนทำให้คนทำงานได้รับผลกระทบ โดยจะใช้คนน้อยแต่ผลผลิตเพิ่มขึ้น อาทิ การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้แทนมนุษย์ ในขณะที่ผู้ประกอบการที่ไม่มีทุนแต่มีองค์ความรู้การเข้ามาในธุรกิจโลกดิจิทัลก็สามารถสร้างองค์กรที่เกิดใหม่จะเป็นองค์กรที่มีความเข้าใจความต้องการของลูกค้าว่าต้องการอะไร โดยการนำดาต้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ และสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรม ลดต้นทุน และได้ประสิทธิภาพมากกว่าการใช้แรงงานคนทำงาน ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้ที่ใช้สมาร์ทโฟน และข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ทำให้องค์กรธุรกิจต้องเตรียมรับมือ และคิดว่าจะนำข้อมูลเหล่านั้นนำมาทำอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อให้แข่งขันได้ ซึ่งจะโดนดิสรัปต์หรือโดนฆ่าโดยคู่แข่งขันที่ปรับตัวเป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เช่น 1. อูเบอร์สามารถให้บริการรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งไม่มีรถเป็นของตัวเอง 2. Amazon ได้รับคำสั่งซื้อ และส่งสินค้าผ่านทาง UPS โดยได้พยายามอย่างมากต่อการแข่งขันกับร้านค้าปลีกในการส่งมอบสินค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในทันทีด้วยการใช้โดรน 3. หุ่นยนต์ได้มีการนำมาใช้เพื่อลดเวลาในการจัดส่งทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าทันทีที่ต้องการ 4. รถยกแบบใหม่ที่เรียกว่า “หุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้แบบอัตโนมัติ” ยังมีความสามารถประมวลผลข้อมูลการรับ และจัดส่งสินค้าซึ่งเร็วกว่ามนุษย์ถึง 4 เท่า อนึ่ง การมองทิศทางในอนาคตการทำงานขององค์กรร่วมกับเทคโนโลยีจะสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ที่มีความทันสมัย และทันต่อสภาพแวดล้อมภายนอกอันจะเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาสินค้า และบริการใหม่ๆ แบบ Long Term Solution ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับองค์กรไปพร้อมกัน CR : http://www.busandtruckmedia.com#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
29 พ.ย. 2561
"7 เทรนด์เทคโนโลยีน่าจับตามองในปี 2019 พลิกธุรกิจ SME เป็นผู้นำ"
"7 เทรนด์เทคโนโลยีน่าจับตามองในปี 2019 พลิกธุรกิจ SME เป็นผู้นำ"
"7 เทรนด์เทคโนโลยีน่าจับตามองในปี 2019 พลิกธุรกิจ SME เป็นผู้นำ" หลายคนอาจรู้สึกว่าเพิ่งผ่านปี 2018 ไปไม่นาน รู้ตัวอีกทีก็จะพ้นไตรมาสที่ 3 ของปีกันแล้ว การที่ธุรกิจจะคงความเป็นผู้นำได้ คงไม่พ้นการติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณ PeerPower จึงได้รวบรวม 7 เทรนด์เทคโนโลยีน่าจับตามองในปี 2019 จะมีเทรนด์อะไรที่ผู้ประกอบการควรรู้และติดตามอย่างใกล้ชิดบ้างไปติดตามกันได้เลยค่ะ1. ยุคแห่งคอนเท้นต์วิดีโอต้องยอมรับว่าในปี 2018 ที่ผ่านมา คอนเท้นต์วิดีโอนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก สาเหตุอาจเป็นเพราะแอปพลิเคชั่นบนโลกซีเชียลมีเดียหลายเจ้าได้พัฒนาเพื่อให้สามารถรองรับการถ่ายและอัพโหลดวิดีโอมากขึ้น และคาดว่าในปี 2019 จะมีปริมาณการแชร์คอนเท้นต์วิดีโอที่มากขึ้นถึง 80%ด้วยปริมาณวิดีโอที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็วทำให้หลายแอปพลิเคชั่นต้องออกนโยบายจำกัดปริมาณตัวอักษรที่แสดงในวิดีโอ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับวิดีโอคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพมากขึ้น หากว่าคุณเป็นเจ้าของกิจการและต้องการจะเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้นแล้ว ควรจะต้องทำวิดีโอคอนเท้นต์ที่สร้างสรรค์มากขึ้น การจ้างทีมงานโปรดักชั่นเพื่อผลิตวิดีโอโดยเฉพาะ หรือ outsource ทีมงานข้างนอก อาจเป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการควรคำนึงถึงค่ะ2. LIVE วิดีโอคือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการในขณะที่หลายคนเลือกที่จะดูวิดีโอคอนเท้นต์ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองหา LIVE วิดีโอ ซึ่งข้อดีของการ LIVE สด นั่นคือทำให้คุณสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้อย่างทันที ซึ่งผลการสำรวจพบว่า 82% ของผู้บริโภคชอบที่จะดูวิดิโอไลฟ์มากกว่าการนั่งอ่านโพสต์บนโซเชียลมีเดียซึ่งการที่ผู้บริโภคได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและได้รับการตอบรับอย่างทันทีนั้นจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของธุรกิจกับลูกค้านั้นเหนียวแน่นยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่จะกลายเป็นลูกค้าที่ชั้นดีให้กับธุรกิจของคุณมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2019 นั้น LIVE วิดีโอน่าจะมีปริมาณที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วเจ้าของกิจการทั้งหลายอย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดมือคุณไปได้3. การลงโฆษณาในโลกออนไลน์ไม่ได้ผลอีกต่อไปกว่า 30% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเพื่อจำกัดการแสดงโฆษณา ทำให้โฆษณาที่ปล่อยออกไปนั้นไปไม่ถึงกลุ่มลูกค้าเท่าที่ควร ทำให้หลายธุรกิจเลือกที่จะใช้บริการของ influencer มากขึ้น แต่นั่นอาจจะไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด คุณควรจะสร้างคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพ หรือคอนเท้นต์ที่มีหัวข้อเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเข้ามายังช่องทางต่างๆ ของแบรนด์คุณอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้โฆษณาของคุณได้ผลมากขึ้นก็คือ การกลับมาพัฒนาเนื้อหาในโฆษณาให้โดดเด่นและแสดงถึงจุดยืนของสินค้าคุณ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะอ่านคอนเท้นต์ที่เป็นการโฆษณา คุณจึงควรสร้างคอนเท้นต์ที่มีความกลมกลืนและเป็นธรรมชาติจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าการโฆษณาแบบทั่วๆ ไป4. เลือกใช้ช่องทางการสื่อสารให้ถูกเพราะว่าในปัจจุบันมีช่องทางการติดต่อสื่อสารในหลายรูปแบบ ดังนั้นแล้วคุณควรรู้จักถึงความแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละช่องทาง และเลือกช่องทางที่ลูกค้าสะดวกที่จะคุยกับคุณมากที่สุดยกตัวอย่างเช่น Instragram เป็นช่องทางที่เหมาะสำหรับการทำการตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นแล้วการสื่อสารหรือโฆษณาในกลุ่มสินค้าแฟชั่นมักจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า หรือ หากลูกค้าสะดวกที่จะติดต่อสื่อสารกับคุณผ่านช่องทาง twitter หรือ Facebook มากกว่าการพูดคุยทางโทรศัพท์หรือการเดินเข้าร้านค้าหรือศูนย์บริการ คุณก็ควรที่จะปรับรูปแบบของการบริการตอบคำถามให้มาอยู่ในช่องทางออนไลน์มากขึ้น อาจจะเพิ่มการตอบแบบ 24 ชม. เพื่อป้องกันการสูญเสียฐานลูกค้าเดิมที่เผลอๆอาจจะมากกว่าฐานลูกค้าใหม่ที่คุณกำลังมองหาก็เป็นได้5. “คอมมิวนิตี้” เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามโอกาสในการเพิ่มลูกค้ามีอยู่ทุกที่ กลุ่มลูกค้าของคุณอาจจะแฝงอยู่อยู่ในทุกที่และแอบมองสินค้าของคุณอยู่ห่างๆ เพราะสมัยนี้การเข้าถึงข้อมูลมีมากขึ้นทำให้ลูกค้าของคุณสามารถศึกษาข้อมูลให้ได้มากที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจซื้อและถ้าหากว่าข้อมูลที่พวกเขาได้รับนั้นมาจากคนใกล้ตัวหรือคนที่เขาไว้ใจ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนหรือคนรูจัก ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการซื้อได้มากขึ้น แต่คุณเองก็คงไม่สามารถเข้าถึงคนทุกคนได้อยู่แล้ว influencer ที่เป็นทั้งผู้ใช้สินค้าจริงๆ และพร้อมที่จะโปรโมตให้กับสินค้าคุณจึงกลายเป็นอีกหนึ่งคำตอบในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้มากขึ้น เพราะความไว้ใจที่กลุ่มลูกค้าของคุณมีต่อ influencer ทำให้สินค้าของคุณน่าเชื่อถือและเกิดการซื้อมากกว่าการทำแคมเปญโฆษณาที่คุณจ่ายเงินไปเสียอีก6. ให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลของลูกค้าให้มากขึ้นข้อมูลทุกอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ทำให้ผู้ใช้หลายคนรู้สึกว่าถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ GDPR (General Data Protection Regulation) ออกนโยบายปกป้องความเป็นส่วนตัวเพื่อป้องกันการขายข้อมูลของผู้บริโภคเรียกได้ว่าเป็นนโยบายที่ท้าทายบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Google และ Facebook เพราะถ้าหากว่ามีค้าขายข้อมูลเกิดขึ้นนั่นไม่ใช่เพียงแค่การผิดจริยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายอีกด้วย ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ทำเว็บไซต์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้านเทคโนโลยีก็คงจะต้องคิดกลยุทธ์ในการตั้งนโยบายความเป็นส่วนตัวใหม่อย่างรอบคอบ รับรองว่าบริษัทของคุณจะได้รับการยกย่องจากลูกค้าในปี 2019 นี้อย่างแน่นอนค่ะ7. AI จะถูกนำมาใช้อย่างจริงจังในปี 2019 นี้แน่นอนว่าในปี 2018 ที่ผ่านมาใครๆ ก็ต้องพูดถึง AI (หรือ Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นที่จับตามองอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา แต่เราอาจจะยังไม่ได้เห็นการพัฒนาของ AI ออกมาเป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไหร่ ซึ่งในปี 2019 นี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราจะได้เห็น AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกๆองค์กรรูปแบบของ AI ที่เราจะได้เห็นในปีหน้า จะเป็นกาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้น หรือ การนำข้อมูลต่างๆมาทำคอนเท้นต์ที่มีความเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งถ้าหากว่าคุณไม่รีบนำ AI มาใช้ในธุรกิจของคุณก็อาจจะทำให้การก้าวมาเป็นผู้นำในตลาดของคุณต้องตกไปอยู่ในมือของคู่แข่งได้เชื่อว่าในปี 2019 นี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีให้เราได้เห็นกันอย่างแน่นอน สำหรับผู้ประกอบการที่อยากจะเติบโตในช่วงนี้อาจจะต้องทำการตลาดกันหนักขึ้น เพื่อเอาชนะคู่แข่งของคุณ หากการขอสินเชื่อจะช่วยให้การตลาดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอนว่าในปี 2018 ที่ผ่านมาใครๆ ก็ต้องพูดถึง AI (หรือ Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นที่จับตามองอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา แต่เราอาจจะยังไม่ได้เห็นการพัฒนาของ AI ออกมาเป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไหร่ ซึ่งในปี 2019 นี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราจะได้เห็น AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกๆ องค์กรCR : www.peerpower.co.th#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
26 พ.ย. 2561
ขนมครองแครงเล็กจนโต ปรับแพ็กเกจจิ้งยังไง? ให้ลุยโมเดิร์นเทรดได้ฉลุย
ขนมครองแครงเล็กจนโต ปรับแพ็กเกจจิ้งยังไง? ให้ลุยโมเดิร์นเทรดได้ฉลุย
ขนมครองแครงเล็กจนโต ปรับแพ็กเกจจิ้งยังไง? ให้ลุยโมเดิร์นเทรดได้ฉลุย แม้จะเป็นขนมแบบเดิมๆ แต่ถ้าได้รับการปรับแพ็กเกจจิ้งใหม่ให้สวยสะดุดตา ก็ช่วยสร้างความแปลกใหม่และขยายตลาดได้ เช่นเดียวกับ “เล็กจนโต” แบรนด์ขนมครองแครงที่อยู่มากว่า 60 ปี ที่วันนี้ได้ขยับขยายพาตัวเองเข้าสู่โมเดิร์นเทรดช่องทางจำหน่ายยุคใหม่ ทำอย่างไรแบรนด์ขนมครองแครงถึงสามารถเจาะช่องทางค้าปลีกยุคใหม่ได้สำเร็จ ไปฟัง อภิณพร ทองดี กรรมการ บริษัท แอลเจที อินเตอร์ ฟู้ด จำกัด ทายาทรุ่นที่ 3 พูดถึงเรื่องนี้กัน การทำตลาดสำหรับขนมครองแครง ภายใต้แบรนด์ “เล็กจนโต” วันนี้เป็นยังไงบ้าง อภิณพร: ขนมครองแครงนั้นมีลูกเล่นได้หลายอย่างซึ่งจะเปลี่ยนรสชาติก็ได้ จะเปลี่ยนวัตถุดิบก็ได้ เช่น จากใช้แป้งธรรมดาไปเป็นแป้งโฮลวีท หรือเพียงแค่เปลี่ยน Process จากทอดเป็นอบก็ได้ นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและเปลี่ยนตามเทรนด์ของผู้บริโภคได้ เพราะฉะนั้นตลาดของทานเล่นอย่างขนมยังไงก็ไปต่อได้เรื่อยๆ ไม่มีทางตันเพียงแต่ต้องอาศัยการพัฒนาสินค้าอยู่ตลอด และหนึ่งในกลยุทธ์ของแบรนด์เราก็คือการปรับแพ็กเกจจิ้งเพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าสู่โมเดิร์นเทรด แพ็กเกจจิ้งมีความสำคัญยังไงกับยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะกับทางแบรนด์ที่เข้าสู่โมเดิร์นเทรดแล้ว อภิณพร: แพ็กเกจจิ้งเป็นสิ่งที่สร้าง Value Added ให้กับตัวสินค้าของเราให้สามารถขายได้มูลค่ามากขึ้นและยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวโปรดักต์ได้อีกด้วย จริงๆ ถ้าเราใส่ถุงธรรมดาจะทำให้คนที่ไม่รู้จักขนมครองแครง ไม่หยิบขึ้นมาดูเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าเกิดมีแพ็กเกจจิ้งที่สามารถพรีเซนต์ตัวเองหรืออธิบายได้ว่า นี่คือ ขนมครองแครงได้อย่างน่าสนใจก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทำให้ลูกค้าที่เขาไม่เคยทานได้หยิบไปลองดู แล้วทางแบรนด์มีการปรับเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งยังไง อภิณพร: รุ่นแรกที่เราทำจะเป็นแบบง่ายๆ ก่อนเพราะเราไม่มีเงินทุนเยอะ โดยตอนแรกจะใช้ถุงใสใส่ตัวขนมครองแครงแล้วนำไปบรรจุใส่กล่องอีกที แล้วเอามาพันสายเพื่อบอกรสชาติขนมแต่ละรส ต่อมาจึงเริ่มพัฒนาเรื่องสีสันของตัวบรรจุภัณฑ์ข้างนอกให้มีมากขึ้น แต่ข้างในก็ยังเป็นถุงใสเหมือนเดิม แล้วก็มาทำเป็นแบบกระปุก ซึ่งพอเราลองมาทดลองแล้วกลายเป็นว่ามีอายุการเก็บรักษาได้ไม่ดีนัก สุดท้ายก็เลยกลายมาเป็นแบบซองพลาสติกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ถ้าผู้ประกอบการ SME อยากเข้าโมเดิร์นเทรดบ้าง การทำแพ็กเกจจิ้งที่ดีต้องมีอะไรบ้าง อภิณพร: หากจะเข้าโมเดิร์นเทรดปัจจัยสำคัญอย่างแรกเลย ต้องมีแพ็กเกจจิ้งที่สามารถเก็บคุณภาพของสินค้าได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น สมมติว่าถ้าเราใส่ถุงใสจะอยู่ได้แค่ 1 อาทิตย์ แต่ถ้าเข้าในโมเดิร์นเทรดอายุการเก็บรักษาของสินค้าอย่างน้อยต้องอยู่ที่ 1 – 3 เดือน เพราะฉะนั้นจึงควรทำการศึกษาให้ดีว่าบรรจุภัณฑ์หรือแพ็กเกจจิ้งที่ใช้นั้นสามารถเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ได้นานแค่ไหน แล้วยังมีอะไรอีกบ้าง อภิณพร: หลังจากนั้นก็มาดูที่เรื่องของการดีไซน์ออกแบบที่ต้องมีความโดดเด่นและบางครั้งก็ต้องคำนึงถึงฟังก์ชั่นด้วยเพื่อให้แพ็กเกจจิ้งนั้นทำงานได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ในส่วนของเราก่อนที่จะทำการดีไซน์แพ็กเกจจิ้งนั้นจะมีการไปเดินสำรวจที่ห้างก่อนเพื่อดูว่าแพ็กเกจจิ้งส่วนใหญ่ในโซนที่เราอยากจะวางขายหรือโซนขนมไทยนั้นมีแพ็กเกจจิ้งแบบไหนบ้าง แล้วเราจะใช้สีสันประมาณไหนเพื่อที่จะทำให้สินค้าของเราดูโดดเด่นขึ้นมาจากคนอื่น นอกจากอายุการเก็บรักษาและดีไซน์แล้ว ยังมีอะไรอีก อภิณพร: เรื่องของการใช้สีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ซึ่งสีสันของแพ็กเกจจิ้งจะขึ้นอยู่กับคาแรคเตอร์ของสินค้า เช่น ถ้าเป็นขนมครองแครงของแบรนด์เรา ก็จะมีคาแรคเตอร์แบบสนุกสนาน สีสันแพ็กเกจจิ้งที่ใช้ก็จะค่อนข้างเป็นแบบสดใส แต่ถ้าหากคาแรคเตอร์สินค้าของแบรนด์คุณเป็นแบบผู้ใหญ่หรือมีลุคเท่ๆ สีสันที่ใช้ก็ต้องเป็นไปในทางที่สุขุมหน่อย เพื่อให้เข้ากันกับตัวผลิตภัณฑ์ เพราะฉะนั้นในการเลือกสีของบรรจุภัณฑ์นั้นต้องดูว่าคาแรคเตอร์ของสินค้าเรานั้นเป็นแบบไหน อาจจะแบ่งง่ายๆ ว่าเป็นแนวสนุกสนาน แนวมินิมอล แล้วค่อยมาเลือกสีในโทนนั้นอีกที หรือถ้าอยากจะบ่งบอกว่าโปรดักต์นั้นมีรสชาติยังไงก็สามารถเลือกสีของแพ็กเกจจิ้งให้เป็นไปในทางเดียวกัน เช่น รสชาติเผ็ดร้อนก็จะใช้โทนสีแดง เป็นต้น ยังมีอะไรอีกบ้างที่จะสร้างมูลค่าให้กับสินค้าของแบรนด์ในแง่ของเรื่องบรรจุภัณฑ์ อภิณพร: การทำแพ็กเกจจิ้งออกมาเฉพาะในช่วงโอกาสพิเศษของทางแบรนด์ อย่างเช่น กล่องบรรจุภัณฑ์ช่วงปีใหม่นั้นช่วยสร้างความโดดเด่นได้ โดยใช้การรวมภาพสิ่งที่เกี่ยวกับขนมครองแครงและภาพของวัฒนธรรมไทยในลักษณะของภาพวาดลายเส้นที่ดูไม่ไทยจนเกินไป เพื่อเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่อยากจะได้ของฝากที่ดูมีความเป็นไทยแบบเก๋ๆ คิดว่าการทำแพ็กเกจจิ้งในแต่ละเทศกาลสามารถช่วยดึงดูดผู้บริโภคได้มากน้อยขนาดไหน อภิณพร: ขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้บริโภคด้วย เพราะลูกค้าที่ซื้อในช่วงเทศกาลและคนที่ซื้อทานเองนั้นจะแตกต่างกัน เช่น ถ้าเป็นคนที่ซื้อทานเองเขาก็จะซื้อถุงเล็กๆ แบบทานคนเดียว ซึ่งตัวแพ็กเกจจิ้งอาจจะมีความสวยงามระดับนึง แต่ในส่วนที่ซื้อเป็นของฝากนั้นจะต้องเน้นความสวยงามแล้วก็มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เพราะโดยธรรมชาติของคนแล้วเวลาเราจะซื้อของให้คนอื่นเรามักจะมองที่ว่าสวยหรือว่าดูดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการออกบรรจุภัณฑ์ตามแต่ละเทศกาลก็เป็นอีกกิมมิคที่สามารถสร้างความน่าสนใจและดึงดูดผู้บริโภคให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของเราได้ ทางแบรนด์เห็นความแตกต่างระหว่างการขายแบบเดิมๆ กับการเข้าไปในโมเดิร์นเทรดยังไง อภิณพร: การเข้าโมเดิร์นเทรดจะทำให้เราสามารถขายได้ในมูลค่าที่สูงขึ้นด้วยเรื่องของแพ็กเกจจิ้งที่เราเพิ่มเข้ามา เช่น สมมติกล่อง 1 กล่องเราใช้ราคา 5 – 10 บาท เราอาจจะขายราคานั้นบวกไปได้ถึง 50 บาทในโมเดิร์นเทรด แต่ถ้าเป็นตลาดธรรมดาเราอาจจะเน้นขายด้วยราคาที่ไม่แพงมากแต่อาจจะได้ Volume หรือปริมาณที่เยอะกว่า เช่น ลูกค้าสามารถสั่งซื้อแบบครึ่งกิโลโดยไม่ต้องใส่แพ็กเกจจิ้งที่สวยหรูก็ได้ มองเทรนด์ของแพ็กเกจจิ้งตอนนี้ว่าเป็นยังไง อภิณพร: เทรนด์เดี๋ยวนี้จะมาในลักษณะของการสร้างความแตกต่างให้กับตัวบรรจุภัณฑ์แล้วก็มีความมินิมอลมากขึ้น เช่น หากมองเผินๆ ก็เหมือนเป็นแค่ถุงธรรมดา แต่แอบมีฟังก์ชั่นข้างในที่สวยงาม หรือถ้าสินค้าคือถั่ว ทางแบรนด์อาจจะทำแพ็กเกจจิ้งข้างนอกเป็นรูปถั่วแล้วดึงออกมาเป็นลิ้นชักแบบนี้ก็ได้ ซึ่งแม้จะดูไม่หวือหวามากนักแต่ก็ซ่อนลูกเล่นบางอย่างเอาไว้ ทุกวันนี้ผู้บริโภคต้องการแพ็กเกจจิ้งแบบไหน อภิณพร: จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นสินค้าเดียวกัน แต่ถ้าแพ็กเกจจิ้งต่างกัน ก็วางขายต่างตลาดแล้ว เช่น ของทางแบรนด์ถ้าเป็นแบบถุงใสธรรมดานั้นจะนำไปวางขายตามโรงเรียนหรือตลาดนัดที่ลูกค้าไม่ได้สนใจเรื่องความสวยงาม แต่เราสามารถพรีเซนต์ให้เขาชิมได้ แต่ถ้าอยากจะได้ตลาดที่แมสหรือกว้างขึ้นมาสักหน่อย อย่างการเข้าห้างหรือโมเดิร์นเทรด ที่เราไม่มีโอกาสจะเข้าไปพูดกับลูกค้าได้ การทำแพ็กเกจจิ้งให้น่าสนใจและน่าดึงดูดจึงเป็นสิ่งสำคัญ หรือในส่วนของการเป็นของฝาก ผู้บริโภคก็ต้องการแพ็กเกจจิ้งที่สวยงามและดูดีเพื่อที่จะทำให้สินค้านั้นดูมีราคาขึ้นมา ดังนั้นอยากได้กลุ่มผู้บริโภคแบบไหนก็สามารถใช้ตัวแพ็กเกจจิ้งแยก Section ตลาดได้ เทรนด์ใหม่ๆที่ควรจับตามองด้านแพ็กเกจจิ้งมีอะไรบ้าง อภิณพร: จะเป็นเรื่องของวัสดุที่นำมาใช้ซึ่งต้องสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ รักษ์โลก นำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากนี้จะเห็นการนำกระดาษมาทำเป็นแพ็กเกจจิ้งมากขึ้น หรือแพ็กเกจจิ้งที่เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หมดไปแล้วผู้บริโภคยังสามารถใช้ตัวแพ็กเกจจิ้งนั้นต่อได้ เห็นไหมล่ะว่าแค่ปรับแพ็กเกจจิ้งก็เป็นใบเบิกทางให้ผู้ประกอบการได้ก้าวเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นและสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้น ดังนั้น อย่ารอช้าถ้าคิดจะเติบโตเพราะแค่การใส่ไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ลงไปบนตัวบรรจุภัณฑ์ก็สามารถสร้างโอกาสให้ตัวเองได้แล้ว CR : http://www.smethailandclub.com#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
23 พ.ย. 2561
 อาหาร 2019 เทรนด์รักษ์โลก-รักษ์สุขภาพมาแรง
อาหาร 2019 เทรนด์รักษ์โลก-รักษ์สุขภาพมาแรง
อาหาร 2019 เทรนด์รักษ์โลก-รักษ์สุขภาพมาแรงงานแสดงเทคโนโลยีส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม หรือ ฟู้ด อินกรีเดียนท์ เอเชีย 2018 เผย เทรนด์ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มประจำปี 2019 ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ คือ กระบวนการผลิตที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม, อาหารเพื่อสุขภาพแบบทางสายกลาง, กระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ, บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่, การเติบโตของรสชาและกาแฟ, อาหารที่มีรูปลักษณ์สีสันสวยงามเหมาะกับการโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย อาหารสำเร็จรูปที่สะดวก ง่าย คุณภาพภัตตาคาร, อาหารมื้อหลักกำลังถูกแทนที่ด้วยขนมขบเคี้ยว, ผลิตภัณฑ์อาหารจากท้องทะเล และเทรนด์การสร้างสินค้าแปลกใหม่ที่กำลังมาแรง1. MINDFUL CHOICES: ผู้บริโภคมีความใส่ใจมากขึ้นในการเลือกอาหารที่มีกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน และลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่แบรนด์ระดับโลกเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติต่างๆ ที่ตอบโจทย์ในเรื่องเหล่านี้มากยิ่งขึ้น2. LIGHTER ENJOYMENT: กระแสอาหารรักสุขภาพที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั้น ทำให้เกิดทางเลือกใหม่ในการบริโภค ที่ผู้บริโภคยังเลือกสิ่งที่ชอบได้เหมือนเดิมในรูปแบบอาหารทางเลือกที่เป็นทางสายกลาง โดยลดสารต่างๆ ลงให้เหลือในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เว้นแม้แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความหวาน รสชาติ เนื้อสัมผัส หรือแม้กระทั่งขนาดรับประทาน3. POSITIVELY PROCESSED: ผู้บริโภคมองหาหลักประกันที่ทำให้มั่นใจในกระบวนการผลิตอาหารมากขึ้น และผู้ผลิตบางรายก็มองเห็นโอกาสในการชี้แจงรายละเอียด เพราะการสื่อสารและการชี้แจงที่ชัดเจนนั้นจะยิ่งทำให้รู้สึกว่าสินค้ามีคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น4. GOING FULL CIRCLE: Circular Economy หรือเศรษฐกิจที่เน้นการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่แทนการผลิตใช้แล้วทิ้ง จะส่งผลอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหาร โดยการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดและคุ้มค่าจะกลายเป็นเรื่องจำเป็นต่อธุรกิจ และเกิดการบริโภคซ้ำ (Circular Consumtion) จะทำให้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติและบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่เป็นที่น่าจับตามอง รวมถึงการตระหนักถึงปัญหาพลาสติกและของเสียจากอาหารที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้ภาครัฐร่วมมือในการจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง5. BEYOND THE COFFEEHOUSE: ธุรกิจกาแฟและชา กลายเป็นสิ่งดึงดูดผู้บริโภคในกลุ่ม Millennial และ GEN-Z ทำให้รสและส่วนผสมของชาและกาแฟนั้นขยายออกไปแทบทุกประเภทของอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนี้ รสชาติที่มากกว่าคำว่า “กาแฟ” อย่าง ลาเต้, เอสเพรสโซ่ และมัคคิอาโต้ ยังได้รับความนิยมจนได้รับพื้นที่บน Shelf มากขึ้น ส่วนชาก็กลายมาเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความพรีเมียม ให้ผู้บริโภคได้ดื่มด่ำกับรสชาติแปลกใหม่ หรือรสชาติที่ถูกปรุงขึ้นจากการผสมผสาน6. SAY IT WITH COLOR: การถ่ายภาพอาหารแล้วโพสต์ลงโซเซียลมีเดียกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริโภค ทำให้อาหารที่เต็มไปด้วยสีสันนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก และอาหารหรือเครื่องดื่มสวยๆ ที่โพสต์ลงอินสตาแกรม หรือ “Instagramability” นั้นกำลังจะกลายมาเป็นกระแสหลักของวงการ ซึ่งความนิยมของตลาดในเรื่องสีสันนี้ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังโอกาสทางธุรกิจของสีจากธรรมชาติที่มาพร้อมกับฉลาก Clean Label นอกจากนี้ อาหารที่ให้สีเครื่องเทศอย่างบีทรูทหรือขมิ้น ยังได้รับการจดจำในฐานะอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย7. DINING OUT, IN: ผู้บริโภคกำลังมองหาอาหารที่มีรสชาติดี ให้ประสบการณ์และคุณภาพดี เหมือนกับที่รับประทานในร้านอาหาร แต่สามารถรับประทานเองได้ที่บ้าน ทำให้เกิดนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ความแตกต่างของรูปแบบการรับประทานอาหารนั้นนอกจากจะส่งมอบรสชาติที่ดีแล้วยังต้องส่งมอบประสบการณ์ของมื้อพิเศษได้อีกด้วย โดยเส้นแบ่งที่จางลงระหว่างธุรกิจบริการอาหารและค้าปลีกนั้นจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น8. FROM SNACKS TO MINI MEALS: เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของมื้ออาหาร ที่ขับเคลื่อนจากปัจจัยเรื่องความสะดวก สุขภาพดี และการรับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารว่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอุตสาหกรรมของขนมขบเคี้ยวได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มพลังงานและทดแทนมื้ออาหารหลักได้ โดยมีวัตถุดิบหลักที่เป็นส่วนประกอบของขนมอย่างมะเขือเทศขนาดเล็ก ซึ่งมีผลทำให้ตลาดมะเขือเทศเล็กเกิดการเติบโตขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดขนมขบเคี้ยวด้วยเช่นกัน9. OCEAN GARDEN: คุณค่าทางอาหารที่อัดแน่นในผลิตภัณฑ์จากทะเล กำลังเพิ่มความหลากหลายทั้งในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยพื้นที่ของเนื้อสัตว์ในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ จะถูกแทนที่ด้วยปลา เพราะผู้บริโภคลดการรับประทานเนื้อแดงลง ผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายทะเลชนิดต่างๆ จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนอกจากผัก นอกจากนี้ ความเค็มในผลิตภัณฑ์จากทะเลนั้นยังสามารถแทนที่ความเค็มจากเกลือและให้รสชาติและคุณภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย10. BOUNTIFUL CHOICE: แบรนด์ต่างๆ ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความต้องการของผู้บริโภค นำไปสู่การสร้างสินค้าที่มีความสร้างสรรค์และมีนวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการตลาดที่แบ่ง segments ลูกค้าแบบเดิมๆ นั้นแบรนด์ต่างๆ ยังหันมาให้ความสนใจกับรสชาติ รูปแบบ และบรรจุภัณฑ์มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาสินค้าแบบ OUR OF THE-BOX เพื่อรักษาการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค และความกระหายใคร่รู้ของผู้บริโภคยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เกิดความหลากหลาย และน่าตื่นตาของอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบันCR : marketeeronline#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
20 พ.ย. 2561
ทำธุรกิจอย่างไรให้อยู่รอด? งานวิจัย TMB ชี้ 7 พฤติกรรมของ SME ที่ทำให้ธุรกิจเจ๊ง
ทำธุรกิจอย่างไรให้อยู่รอด? งานวิจัย TMB ชี้ 7 พฤติกรรมของ SME ที่ทำให้ธุรกิจเจ๊ง
ทำธุรกิจอย่างไรให้อยู่รอด? งานวิจัย TMB ชี้ 7 พฤติกรรมของ SME ที่ทำให้ธุรกิจเจ๊ง บ่อยครั้งที่เราเห็นร้านกาแฟ ร้านอาหารหรือร้านขายของผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ไม่นานก็ปิดตัวไป สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) บอกว่า 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีธุรกิจเกิดใหม่ 70,000 รายต่อปี แต่มีแค่ 50% ที่ผ่านปีแรกไปได้ และปีที่ 2 มีธุรกิจประมาณ 10% ที่ต้องปิดกิจการไป ทำไมธุรกิจ SME ถึงเจ๊งกันเยอะขนาดนี้? TMB เปิดผลวิจัย 7 พฤติกรรมของ SME ที่ทำให้ธุรกิจเจ๊งชมภูนุช ปฐมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าเอสเอ็มอี ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย บอกว่า จากข้อมูลของ สสว. ทีเอ็มบีจึงลงสำรวจ SME ในไทย มาวิเคราะห์จนได้บทสรุปในหัวข้อ ‘7 หลุมพรางของ SME ที่ทำให้ธุรกิจไม่ไปถึงฝั่งฝัน’ ได้แก่ ใช้เงินทุนโดยไม่วางแผน SME กว่า 84% ใช้เงินเก็บส่วนตัวหรือของครอบครัวมาเริ่มทำธุรกิจ ซึ่งถ้าธุรกิจผิดพลาดก็จะกระทบไปถึงครอบครัว ในขณะที่อีก 27% เริ่มทำธุรกิจจากการใช้สินเชื่อและการกดเงินสดจากบัตรเครดิตซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่สูง อาจไม่คุ้มกับกำไรธุรกิจหลังจากหักดอกเบี้ยทำธุรกิจโดยไม่มีแผนธุรกิจ 72% ของ SME ไม่เคยทำตามแผนธุรกิจ (ไม่ว่าจะวางแผนธุรกิจไว้หรือไม่) เพราะแค่แก้ปัญหารายวัน ปัญหาเฉพาะหน้าก็หมดเวลาแล้ว จึงส่งผลกระทบต่อแผนการเติบโตในระยะยาว SME ใช้ ‘กระเป๋าธุรกิจ’ และ ‘กระเป๋าส่วนตัว’ เป็นกระเป๋าเดียวกัน โดย 67% ของ SME ใช้เงินส่วนตัวและเงินธุรกิจปนกัน เช่น ให้ลูกค้าโอนค่าของเข้าบัญชีส่วนตัว แต่จำไม่ได้ว่าเงินตัวเองมีเท่าไร เมื่อไม่ได้ตั้งเงินเดือนตัวเองไว้ ในบัญชีมีเงินเท่าไรก็ดึงมาใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้จด หรือทำบัญชีไว้ ทำให้ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริงส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาวยอดขายสูง…แต่อาจไม่กำไร จากผลการสำรวจของทีเอ็มบี บอกว่า 37% ของ SME เคยทำพฤติกรรมที่เสี่ยงในการขายของขาดทุน เช่น ลดราคาสินค้าแต่ไม่ได้ดูต้นทุน ไม่ใส่เงินเดือนตนเองในต้นทุนสินค้า ตั้งราคาขายสินค้าให้สูงวัตถุดิบคือกำไร ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้ว SME ควรทราบต้นทุนที่ถูกต้องและครบถ้วนให้เห็นกำไรจริงของธุรกิจ ทุ่มเวลากับการผลิต จนไม่มีเวลาให้การตลาด 87% ของ SME ไม่ให้เวลากับการตลาด จึงพลาดโอกาสสร้างจุดเด่น และความแตกต่างจากคู่แข่ง ซึ่งขั้นตอนดำเนินธุรกิจของ SME จะแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ1.) กระบวนการผลิต ได้แก่ การจัดหาวัตถุดิบ การบริหารสต็อคสินค้า การสรรหาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเสริมทัพ การผลิตและการบรรจุ2.) งานสำนักงาน ได้แก่ การทำบัญชี การเงินและภาษี การวิเคราะห์ยอดรายรับ-รายจ่าย การบริหารพนักงานและสวัสดิการ การทำเอกสารซื้อ-ขาย3.) การขาย การเฝ้าหน้าร้าน การพบปะลูกค้าและการขายสินค้า4.) การตลาด ได้แก่ การตลาดและการสร้างแบรนด์ONE MAN SHOW…NO Stand-in กว่า 70% ของ SME ไทยไม่สามารถหา “คน” ที่ตัดสินใจทางธุรกิจได้แทนเจ้าของ ดังนั้น 49% ของ SME ยอมรับว่าพบปัญหาธุรกิจสะดุด เมื่อตนเอง (เจ้าของ) ไม่อยู่ดูแลหรือขายสินค้าเองจึงส่งผลให้ยอดขาย ออเดอร์ลดลง หรือฐานลูกค้าหายไปทันทีไม่พร้อมรับมือกับสิ่งใหม่ จากข้อมูลมี SME 38% ที่ยังไม่พร้อมเปิดรับส่งใหม่ ด้วยเหตุผล เช่น กลัวจะมีปัญหาในช่วงเริ่มต้นสิ่งใหม่ ไม่เปิดรับหรือไม่มีเวลาหาข้อมูลสิ่งใหม่ๆ มองว่าธุรกิจที่ทำอยู่นั้นดีอยู่แล้ว ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลง ฯลฯ แล้วต้องทำยังไงให้ธุรกิจอยู่รอดเมื่อดูจากวงจรธุรกิจ SME ซึ่งแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงเริ่มต้น (Start) ซึ่งเงินทุนและแผนธุรกิจถือเป็นปัจจัยหลักในการตั้งต้น แจ้งเกิดธุรกิจใหม่ ช่วงพัฒนาและช่วงอิ่มตัว (Growth & Mature) เมื่อทำธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพแล้ว ต้องหาทางขยายตัวเพื่อเลี่ยงการถดถอย ทีเอ็มบีสรุปข้อแนะนำ 7 ข้อเพื่อ SME ทำธุรกิจอยู่รอด เลือกเงินทุนและจัดสัดส่วนเงินลงทุนอย่างเหมาะสม คำนึงถึงความเสี่ยงด้วยวางแผนธุรกิจคร่าวๆ ด้วยตนเองแยกกระเป๋าธุรกิจออกให้เป็นสัดส่วน หรือทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้เห็นเงินเข้าออกอย่างชัดเจนคิดต้นทุนให้ครบหาเครื่องทุ่นแรงหรือคนมาช่วยดูแลธุรกิจเริ่มคัดเลือก หรือพัฒนาบุคลากร เพื่อวางรากฐานให้มั่นคงการความรู้เพิ่มเติมเพื่อต่อยอดธุรกิจ ด้วยการเดินงานแฟร์ คุยกับที่ปรึกษา SME ร่วมงานสัมมนา หรือ SME Community ต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนผู้ประกอบการด้วยกันสรุปการทำธุรกิจไม่ใช่แค่กำไรแล้วจะอยู่รอดได้ ยิ่งเป็น SME ที่สายป่านเล็กว่าค่ายใหญ่ จึงต้องวางแผนคร่าวๆ เพื่อการเติบโตในอนาคต ที่สำคัญต้องใส่ใจต้นทุน-กำไร-การเงิน-การตลาด และที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมถึงสร้างบุคลากรที่จะทำให้ธุรกิจเราโตขึ้นต่อเนื่อง CR : Brandinside#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
19 พ.ย. 2561
​เทรนด์บรรจุภัณฑ์ แบบไหนโดนใจผู้บริโภค??
​เทรนด์บรรจุภัณฑ์ แบบไหนโดนใจผู้บริโภค??
เทรนด์บรรจุภัณฑ์ แบบไหนโดนใจผู้บริโภค??ในยุคปัจจุบันที่มนุษย์มีการคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ มากมาย ทำให้บรรจุภัณฑ์ไม่ได้จะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ห่อหุ้มสินค้าเพื่อสะดวกแก่การเคลื่อนย้าย แต่บรรจุภัณฑ์จะต้องช่วยรักษาคุณภาพสินค้าให้มีความสดใหม่ สวยงามและถูกสุขลักษณะอนามัย มีรูปแบบที่เหมาะสมต่อการใช้งานสำหรับบุคคลในทุกวัย และจะต้องคำนึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยจากข้อมูลที่เกี่ยวกับอัตราเติบโตของบรรจุภัณฑ์ด้านต่างๆของตลาดโลก พบว่าบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของบรรจุภัณฑ์อาหารจึงมีมาก โดยมีการนำนวัตกรรมต่างๆ มาประยุกต์ใช้กับบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในด้านต่างๆ ดังนี้1.บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) เป็นที่ทราบกันว่าหลายประเทศในโลกรวมถึงประเทศไทย กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นบรรจุภัณฑ์จึงจะต้องออกแบบให้สะดวกต่อการใช้งานได้ทุกเพศทุกวัย โดยที่ยึดความสะดวกสบายของผู้สูงอายุเป็นหลัก การออกแบบจะเน้นหลัก 9 ข้อ คือ เข้าใจได้ง่าย รับรู้ง่าย ถือง่าย ใช้แรงน้อยในการเปิด หยิบง่าย เก็บง่าย ศึกษาสมบัติง่าย ทิ้งง่าย และมีความปลอดภัยในการใช้งาน สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่อยู่ในวัยทำงานนั้น ชีวิตอยู่กับความเร่งรีบก็จะต้องออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เป็นแบบที่พกพาได้สะดวกมีน้ำหนักเบา เดินไปรับประทานไปได้ (on-the-go package) 2.การนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์อาหาร เพื่อยืดอายุการเก็บของอาหารด้วยกรรมวิธีต่างๆ หรือการทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการเลือกซื้ออาหารเพื่อมาบริโภคว่าสะอาดและปลอดภัย (Food safety) นวัตกรรมในด้านนี้ถือว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาใช้ได้แก่ • บรรจุภัณฑ์ฉลาด (Intelligent packaging) เช่น การนำฉลาก RFID มาใช้เพื่อให้สามารถป้อนข้อมูลตั้งแต่ที่มาต่างๆของวัตถุดิบที่ใช้ผลิต แหล่งที่ผลิต วันเดือนปี อายุการเก็บรักษา หรือข้อมูลโภชนาอื่นๆ การนำฉลากที่สามารถบอกถึงความสดของอาหารที่บรรจุอยู่ภายในบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ ฉลากเปลี่ยนสี ที่จะมีการตรวจสอบแบบตลอดเวลา (Real-time indicator sensor) ถ้าหากอาหารเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่น มีการปล่อยก๊าซที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของเชื้อโรคภายในอาหารนั้น ฉลากก็จะมีการเปลี่ยนสีไปจากเดิม เช่น จากสีเหลืองไปเป็นสีน้ำเงิน ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าอาหารที่ซื้อไปมีความปลอดภัยที่จะนำไปบริโภคได้• บรรจุภัณฑ์แอคทีฟ (Active Packaging) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีการใส่วัสดุที่จะสามารถลดจำนวนหรือต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือใส่สารดูดความชื้นหรือดูดก๊าซชนิดต่างๆ ที่ส่งผลให้ผลไม้หรืออาหารเน่าเสียได้เร็วขึ้น เป็นต้น ซึ่งถ้าหากว่ามีตัวช่วยเหล่านี้อยู่ในบรรจุภัณฑ์นั้นๆก็จะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจว่าอาหารนั้น ปลอดภัยมีอายุการเก็บที่นานโดยที่ไม่มีเชื้อแบคทีเรียมาทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายหรือ คุณภาพของอาหารไม่ด้อยลงไปจากเดิม• บรรจุภัณฑ์สมาร์ท ( Smart Packaging) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่มีความสามารถในการควบคุมสมบัติของวัสดุนั้นๆ ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเสื่อมสภาพไปเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือจากการใช้งาน ตัวอย่างเช่น self-healing polymer materials เป็นวัสดุที่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมหลังจากที่ถูกทำให้เสียรูปไป โดยจะมีสารที่จะเป็นตัวช่วยรักษา (healing agent) ที่จะทำให้วัสดุสามารถกลับคือสู่สภาพเดิมได้ ก็จะทำให้บรรจุภัณฑ์นั้นสามารถทำหน้าที่ในการปกป้องสินค้าไม่ให้เกิดความเสียหายหรือปนเปื้อนจากเชื้อโรคภายนอกได้ นอกไปจากนั้นยังมี self-cleaning polymer materials เป็นวัสดุสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ โดยการทำให้ผิวหน้าของวัสดุนั้นไม่รับน้ำหรือสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ไม่ให้ติดอยู่ที่ผิวหน้าของวัสดุนั้นๆ 3.บรรจุภัณฑ์ที่รักษ์โลกหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly packaging) แนวโน้มของบรรจุภัณฑ์ในอนาคตจะต้องเลือกใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ ไม่เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะพยายามเลือกใช้วัสดุให้บางลงหรือมีน้ำหนักน้อยลงแต่จะใช้เทคโนโลยีมาช่วยให้มีสมบัติในการเก็บรักษาดีเท่าเดิม หรือไม่ก็จะใช้วัสดุที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ 4.บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภค หรือมีความโดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร ได้แก่ Personalized packaging หรือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นส่วนตัว เช่น การพิมพ์ชื่อของตัวเองหรือบุคคลที่เราต้องการระบุชื่อลงบนเครื่องดื่มโค้กกระป๋อง ซองมันฝรั่งเลย์ ที่มีแคมเปญให้สามารถออกแบบซองด้วยตัวเอง การผลิตบรรจุภัณฑ์แบบนี้ถึงแม้จะไม่ได้เป็นการผลิตในระยะยาวแต่สามารถใช้เป็นตัวกระตุ้นยอดขายได้ในโอกาสต่างๆ ได้นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว แนวโน้มของบรรจุภัณฑ์อาหารที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในความปลอดภัยมากขึ้นคือ ผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะใช้แนวคิดเลียนแบบธรรมชาติให้มากที่สุดโดยนำหลักการของธรรมชาติมาประยุกต์ใช้กับบรรจุภัณฑ์และพยายามลดการใช้สารเคมีในการผลิตบรรจุภัณฑ์ให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมCR : http://www.smethailandclub.com/#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
16 พ.ย. 2561
เปิดกลยุทธ์ราคา Lazada-Shopee ซื้อของวันไหนถูกสุด พร้อมทิศทางการทำ E-Commerce ยุคใหม่
เปิดกลยุทธ์ราคา Lazada-Shopee ซื้อของวันไหนถูกสุด พร้อมทิศทางการทำ E-Commerce ยุคใหม่
เปิดกลยุทธ์ราคา Lazada-Shopee ซื้อของวันไหนถูกสุด พร้อมทิศทางการทำ E-Commerce ยุคใหม่ ปัจจุบันแทบไม่มีใครไม่เคยซื้อของ Online แล้ว เพราะด้วยความสะดวก รวมถึงโปรโมชั่นต่างๆ ที่สุดแสนจะจูงใจ แต่รู้หรือไม่ว่าซื้อของ Online วันไหนราคาถูกที่สุด? วันนี้ Brand Inside จะมาเปิดเผยเรื่องนี้ให้รู้กัน ทุกวันหวยออกสินค้าจะมีราคาถูกที่สุดเมื่ออ้างอิงข้อมูลจาก aCommerce หนึ่งในผู้ให้บริการเครื่องมือเกี่ยวกับ E-Commerce จะพบว่า Marketplace ต่างๆ ในประเทศไทยเช่น Lazada และ Shopee โดยเฉลี่ยแล้วจะปรับราคาลดลงในทุกวันที่ 1 กับ 16 ของเดือน ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีราคาแพงที่สุดในทุกสิ้นเดือน แต่ถ้าหากใครรอไม่ไหว แนะนำให้ซื้อในทุกวันพุธของแต่ละสัปดาห์ เพราะเฉลี่ยแล้วราคาสินค้าใน Marketplace ต่างๆ จะลดลงราว 3% เมื่อเทียบกับราคาปกติ ถือเป็นการกระตุ้นยอดซื้อขายในช่วงกลางสัปดาห์ ต่างกับวันอังคารที่ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยจะเพิ่มจากราคาตั้งต้น 4% เลยด้วย อย่างไรก็ตามหากยังไม่เชื่อว่าการลดลราคานั้นมีจริงก็อยากให้ไปลองสังเกตสินค้าหมวดหมู่ Health & Beauty, Automotive & Motorcycles, Sports & Outdoors, Computers & Laptops และ Mother & Baby เพราะสินค้าในกลุ่มนี้จะลดราคา 30-50% ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ทั่วไปเลยด้วย สำหรับทิศทางของ E-Commerce หลังจากนี้ ในมุมของผู้ขายจำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องการรีวิวสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่จำหน่ายสินค้ากลุ่ม FMCG เพราะสินค้าเหล่านี้ต้องใช้ทันที ทำให้ถูกรีวิวเกี่ยวกับการส่งสินค้ามากที่สุด และหากการส่งสินค้าไม่เร็วตามที่บอกไว้ ก็เสี่ยงที่จะถูกรีวิวในแง่ลบ และทำให้ยอดจำหน่ายไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังต้องใส่ใจกับเรื่อง Follower ในแต่ละ Marketplace ด้วย เพราะผู้ซื้อจะเริ่มหาสินค้าจากใน Marketplace มากกว่าเสิร์ชจาก Google เพราะมันตรงกับเป้าการค้นหากว่า และหากมี Follower ในแต่ละแพลตฟอร์มเยอะ โอกาสเข้าถึงลูกค้าก็ดีกว่าเดิม และจุดนั้นการทำ Marketing ก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนมุมผู้ซื้อนั้น เพียงแค่ซื้อสินค้าในวันหวยออก หรือถ้ารอไม่ไหวก็ให้ซื้อวันพุธแทน แต่ถ้าอยากได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าในราคาพิเศษจริงๆ แนะนำให้กดติดตามเป็น Follower ตามร้านต่างๆ รวมถึงหมั่นรีวิวสินค้าด้วย เพราะแบรนด์สินค้าต่างๆ พร้อมที่จะทำ Marketing กับพวกคุณ เพื่อเป็นลูกค้ากันในระยะยาว สรุปE-Commerce เปลี่ยนเร็วมาก ยิ่งในมุมผู้ค้าแล้ว การเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้ทัน เช่นการยอมไปเปิดร้านค้าอย่างเป็นทางการในแต่ละ Marketplace หรือการยอมเสียเงินค่าการตลาดให้กับ Follower เพียงเล็กน้อยเพื่อจูงใจให้เขาเป็นลูกค้ากันยาวๆ ก็นับว่าคุ้มกว่าการอยู่เฉยๆ แล้วไม่ทำอะไรเลย CR : Brandinside#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
14 พ.ย. 2561
10 เคล็ดลับในการใช้ Instagram สำหรับธุรกิจ
10 เคล็ดลับในการใช้ Instagram สำหรับธุรกิจ
10 เคล็ดลับในการใช้ Instagram สำหรับธุรกิจ นอกจาก Facebook แล้วยังมีโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ให้แบรนด์เลือกใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภค ลองมาดู 10 เคล็ดลับในการใช้ Instagram ในเชิงธุรกิจกันดูบ้าง โซเชียลมีเดียแต่ละตัวขึ้นชื่อว่ามีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป และมีกลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกันด้วย สำหรับ Instagram หลายคนเล่นเพื่อต้องการโชว์รูปภาพสวยๆ ไม่ต้องการเน้นอ่านข้อความใดๆ มาก แต่ในช่วงหลังก็ได้ออกฟีเจอร์ใหม่ๆ ทีเน้นเรื่องวิดีโอมากขึ้น ทำให้คนใช้งานแอคทีฟขึ้นเช่นกัน พบว่ามีหลายแบรนด์ที่เลือกใช้ Instagram ในการสร้างแบรนด์มากขึ้น ทำให้การเติบโตของการใช้งานสำหรับภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีงานวิจัยพบว่า 66% ของแบรนด์มีการใช้ Instagram ในการสื่อสารกับผู้บริโภค ถือว่าเป็นการใช้โซเชียลมีเดียเป็นอันดับที่ 2 เพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 4 ในปี 2017 หากแบรนด์ไหนที่วางแผนอยากใช้งาน Instagram ลองดู 10 เคล็ดลับในการใช้งานสำหรับธุรกิจ 1. เป็นตัวตนของตัวเองดีที่สุด แบรนด์ต่างๆ มักโดนกับดักของการใช้ภาพจาก Stock หรือภาพกราฟิกโปรโมตแบบเกินจริง แต่จริตของ Instagram เป็นเรื่องของความเรียล ความจริงใจ การที่ใช้ภาพแบบธรรมชาติยังช่วยให้ผู้บริโภคได้เห็นวัฒนธรรม หรือความเป็นตัวตนของแบรนด์ได้มากขึ้นด้วย ต้องโกไลฟ์แล้วตอนนี้การไลฟ์สดกลายเป็นเทรนด์ของการตลาดบนโลกออนไลน์ไปแล้ว โดยที่ 61% ของนักการตลาดบอกว่าพวกเขาวางแผนที่จะเพิ่มกลยุทธ์การไลฟ์สดให้มากขึ้น เพราะผู้ชมชอบดูคอนเทนต์แบบเรียลไทม์ จังหวะต้องดีInstagram เป็นแพลตฟอร์มที่มีการโพสท์คอนเทนต์ง่ายที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่ง สามารถถ่ายภาพได้ทุกที่ที่คุณอยู่ พูดในที่ประชุม อยู่ในออฟฟิศ เปิดตัวสินค้าใหม่ แต่การโพสท์ต้องมีจังหวะในการโพสท์ที่ดี ต้องมีภาพที่เหมาะสมอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ต้องมีการสนทนาตอบโต้เช่นเดียวกันกับโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ต้องสร้างเอ็นเกจเมนต์กับผู้บริโภคให้ได้ เมื่อมีการโพสท์ก็ต้องมีการโต้ตอบ มีการสนทนาทั้งกับผู้บริโภคเอง หรือจะเป็นผู้มีอิทธิพลต่างๆ บนโลกออนไลน์ด้วยก็ได้ แนบลิงก์แปะบนประวัติของคุณความท้าทายที่พบเจอบ่อยมากที่สุดในการใช้ Instagram ก็คือผู้ใช้ไม่สามารถโพสท์ลิงก์บนแคปชั่น หรือคำบรรยายใต้ภาพได้ แต่สามารถแนบลิงก์ในส่วนของประวัติส่วนตัวที่อยู่ด้านบนของแพลตฟอร์มได้ จะเปลี่ยนลิงก์ตามจังหวะ หรือช่วงที่ต้องการโปรโมตสินค้า โปรโมชั่นต่างๆ ได้ ต้องเป็น StorytellerInstagram มีคาแรคเตอร์ในการเล่าเรื่องราวผ่านภาพ โพสท์ต่างๆ ควรเป็นมากกว่าการโพสท์โปรโมตแบรนด์ หรือสินค้า โปรโมชั่น แต่ควรเป็นการเล่าเรื่องราว เล่าสตอรี่ต่างๆ ผ่านภาพ และเชื่อมโยงมายังแบรนด์ เป็นอีกวิธีในการดึงดูดความสนใจได้ เทคโอเวอร์บัญชีอื่นๆการเข้าเทคโอเวอร์บัญชีที่มีฐานผู้ติดตามอยู่แล้ว ไม่ว่าจะป็นพาร์ทเนอร์ หรือคู่ค้าต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างทางลัดของการสร้างบัญชีเช่นกัน หรือมีการทำคอนเทนต์ร่วมกันกับบัญชีอื่นๆ ช่วยดึงดูดความสนใจ และเกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่ายได้ ได้ดาต้าของผู้ชมนอกจากจะได้สื่อสารกับผู้บริโภคแล้ว ยังสามารถเก็บดาต้าของลูกค้า หรือผู้ติดตามได้ด้วย อาจจะเป็นจากการตอบคำถามจากคลิปวิดีโอสั้นๆ นำเสนอข้อเสนอพิเศษได้ ฟีเจอร์ Stories เป็นอีกฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้ ทำให้มีการใช้งานแอคทีฟมากขึ้น แบรนด์ก็เริ่มมีการใช้ในการสื่อสารกับผู้ชมเช่นกัน โดยสามารถนำเสนอข้อเสนอพิเศษสำหรับคนที่ติดตาม Stories ของคุณได้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมมีส่วนร่วม และสร้างเอ็นเกจเมนต์กับแบรนด์ อย่าแค่ถาม แต่ต้องให้แสดงความคิดเห็นในอดีตแบรนด์อาจจะแค่ทำการสำรวจกับผู้บริโภคโดยการโพสท์ภาพบางอย่าง เพื่อทำการสำรวจความนิยมสินค้าในอนาคต แต่อย่าลืมที่จะให้ผู้บริโภคแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วย อาจจะเปิดให้ Direct Messages หรือคอมเม้นต์ แล้วเอาความคิดเห็นมาพัฒนาต่อไปในอนาคต เชื่อเถอะว่ามันดีกว่าการตั้งคำถามปลายปิดว่าอันไหนดีกว่ากัน CR : Brandinside #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
12 พ.ย. 2561
World Bank เผย ไทยครองอันดับ 3 ใน ASEAN ทำเริ่มต้นธุรกิจง่ายที่สุด แชมป์คือ “สิงคโปร์”
World Bank เผย ไทยครองอันดับ 3 ใน ASEAN ทำเริ่มต้นธุรกิจง่ายที่สุด แชมป์คือ “สิงคโปร์”
World Bank เผย ไทยครองอันดับ 3 ใน ASEAN ทำเริ่มต้นธุรกิจง่ายที่สุด แชมป์คือ “สิงคโปร์” World Bank จัดทำรายงานประเทศที่เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายที่สุด โดยอันดับ 1 ของอาเซียนคือประเทศสิงคโปร์ ส่วนประเทศไทยปีที่ผ่านมามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้อันดับที่ 3 ของอาเซียน แต่ยังตามมาเลเซียอยู่ World Bank เผยรายงาน The Doing Business 2019 ซึ่งรายงานถึงความยากง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจทั่วโลกฉบับล่าสุด ซึ่ง World Bank จัดทำรายงานนี้มากว่า 16 ปีแล้ว โดยปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอันดับ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย จีน หรือแม้แต่ประเทศไทย ที่มีพัฒนาการของประเทศที่ดีขึ้น การประเมินด้านต่างๆ ของ World Bank ในรายงานฉบับนี้ประกอบไปด้วยการขอจดทะเบียนทำธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า การขอติดตั้งไฟฟ้าเข้าสู่ธุรกิจ เรื่องของภาษี ข้อกฏหมายต่างๆ หรือแม้แต่ในด้านของแรงงาน ฯลฯ สำหรับในปีนี้ประเทศไทยครองอันดับที่ 27 ในรายงานนี้ และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน ส่วนแชมป์ในอาเซียนนั้นยังคงเหมือนเดิมคือประเทศสิงคโปร์ ตามมาด้วยมาเลเซีย ส่วนอันดับท้ายสุดคือติมอร์ตะวันออก มุมมองของ World Bank สำหรับพัฒนาการของประเทศไทยในปีที่ผ่านมาสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจ มองว่าการขอไฟฟ้าง่ายขึ้น การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ง่ายขึ้นกว่าเดิม มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขนส่งสินค้าข้ามชายแดน อย่างเช่น E-Matching รวมไปถึงการจ่ายภาษีของกรมสรรพากรที่สะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนอันดับ 1 ในการทำธุรกิจที่ง่ายที่สุดในโลกคือประเทศนิวซีแลนด์ ในปีที่ผ่านมานั้นประเทศนิวซีแลนด์ได้ลดค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนธุกิจลดลงกว่าเดิม และมีขั้นตอนต่างๆ ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถจดทะเบียนบริษัทในประเทศได้ ส่วนประเทศจีนสามารถทำอันดับให้ติด 1 ใน 50 ประเทศที่สามารถทำธุรกิจได้ง่าย ปีที่ผ่านมานั้นทางการจีนพัฒนาในเรื่องสำคัญๆ โดยเฉพาะการขอติดตั้งไฟฟ้าจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 150 วัน ลดลงเหลือเพียงแค่ประมาณ 30 วัน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก อีกประเทศที่ต้องจับตามองคือประเทศอินเดีย หลังจากที่นายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดียเคยประกาศศนโยบายให้ประเทศอินเดียสามารถทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นมากกว่าเดิม ล่าสุดในรายงานนี้ อินเดียสามารถติดอันดับที่ 77 ประเทศที่ทำธุรกิจได้ง่าย ซึ่งในปีที่แล้วอินเดียนั้นอยู่ที่อันดับ 100 CR : Brandinside #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่3
09 พ.ย. 2561